เคยมีคนบอกว่า ถ้าคิดจะทำธุรกิจค้าขาย นอกจากสินค้าใน ‘Mass Market’ แล้ว สินค้าเฉพาะในตลาด Niche Market ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ยังไงก็มีคนมาซื้อ จริงรึเปล่า?
การตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือที่เรียกกันว่า Niche Marketing นั้นก็คือการทำการตลาดเพื่อจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความชอบหรือความต้องการเฉพาะตัว แล้วตอบสนองความต้องการพวกเขา เช่น สินค้าสำหรับคนพิการ สินค้าสำหรับหนอนหนังสือ สินค้าสำหรับนักเดินป่า เป็นต้น
จับตลาดเฉพาะกลุ่มดีอย่างไร กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลจริงเหรอ ?
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่หรือแบรนด์ขนาดเล็ก การเลือกทำธุรกิจ Niche Market เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์หลีกเลี่ยงการแข่งขันกับเจ้าใหญ่ในตลาด และลดโอกาสการแข่งขันด้านราคา ทำให้มีกำไรสูงขึ้น ซึ่งต่างจากสินค้า Mass Market ที่ถ้าสินค้าเดียวกันมีราคาต่างกันเพียงนิด ลูกค้าก็เปลี่ยนไปซื้อเจ้าอื่นแล้ว
ตัวอย่างธุรกิจที่จับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น แบรนด์ไทยอย่าง LOGA ที่ขายอุปกรณ์เกมมิ่งดีไซน์พิเศษสำหรับเหล่าเกมเมอร์ ให้สามารถ Custom ของใช้บนโต๊ะคอมของตัวเองได้ตามใจชอบ แล้วยังไปคอลแลบส์กับสตรีมเมอร์ต่าง ๆ เพื่อออกสินค้า Limited Edition เอาใจแฟนคลับกลุ่มนั้นๆ โดยเฉพาะด้วย
อีกธุรกิจที่น่าสนใจ คือเว็บไซต์ร้านออนไลน์จากญี่ปุ่นชื่อว่า ‘Hidari-kiki‘ ที่ขายสินค้าสำหรับคนถนัดซ้ายโดยเฉพาะ ทั้งกรรไกร ไม้บรรทัด กาน้ำชา และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์มนุษย์มือซ้ายที่เคยต้องกำหมัดเวลาใช้มาตลอด ! ช่วยลดปัญหาชีวิตได้ขนาดนี้ แบรนด์ได้ใจลูกค้าไปเต็มๆ
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจใหญ่บางเจ้าที่เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดอยู่แล้วก็อาจทำสินค้าใหม่ออกมาเจาะตลาด Niche Market เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้าเฉพาะให้มากขึ้น เพราะสินค้าหลักของแบรนด์ในตลาดอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้อย่างเต็มที่
เหมือนกับแบรนด์ CP ที่มีการเพิ่ม Product Line อาหารเจเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่กินมังสวิรัติและคนจีนในช่วงตรุษจีน กลยุทธ์นี้นอกจากสินค้าจะได้รับความไว้วางใจในฐานะแบรนด์ใหญ่ในช่วงเวลาแคมเปญแล้ว ยังทำให้สินค้าอื่นๆ ของแบรนด์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นด้วย
เช่นเดียวกับแบรนด์ Banana Boat ที่เราอาจจะคุ้นเคยว่าเขาขายสินค้ากันแดดเป็นหลัก แต่สำหรับสายฝอคนไหนที่อยากสร้างผิวสีแทนด้วยแดดแรง ๆ ของเมืองไทย เขาก็มีสเปรย์ผิวแทนออกมาขายรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย สินค้า Niche Market ตัวนี้ยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ว่าเป็นแบรนด์คู่ขวัญคนที่อยู่กลางแดดให้ชัดขึ้นไปอีก!
Scale’s Takeaways
1. แบรนด์น้องใหม่ใช่ว่าจะแพ้เสมอไป
ปัจจุบันนี้คนให้คุณค่าของสินค้าผ่านประโยชน์ใช้สอยมากกว่า Branding มากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ ใครที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากกว่ากันนั่นแหละคือ ผู้ชนะ!
แถมก็มีหลายครั้งแบรนด์เล็กสามารถตอบความต้องการของลูกค้าและทำได้ไวกว่าแบรนด์ใหญ่แล้วพลิกเกมขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในวงการเฉพาะนั้นๆ ได้ด้วย
2. เจ้าตลาดควรหยิบโอกาสจาก Niche Market ให้เป็น
ความท้าทายของแบรนด์เจ้าตลาดคือการรับมือกับคู่แข่งที่เข้ามาเพื่อแย่งชิงลูกค้าหรืออุดช่องโหว่ของสินค้าหรือบริการในตลาดในทุกๆ วัน
ในเมื่อแบรนด์ใหญ่มีข้อได้เปรียบมากกว่าทั้งในเรื่องตลาดและเงินทุน คงเป็นการเสียโอกาสหากมองข้ามลูกค้ากลุ่มเฉพาะ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งขโมยหัวใจของคนที่อาจเป็น Potential Customers ได้ในอนาคต
ดังนั้น Niche Marketing จึงเป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ใหญ่สามารถขยายฐานลูกค้าและเสริมการรับรู้แบรนด์ได้มากขึ้นด้วย
3. ค้นพบกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ จากการทำ Customer Persona ที่ครอบคลุม
ในช่วงแรก ๆ ของการทำธุรกิจ เราอาจจะยังมองไม่ออกว่าใน ‘กลุ่มลูกค้าหลัก’ ยังมี ‘กลุ่มลูกค้าเฉพาะ’ แบบไหนซ่อนอยู่บ้าง สิ่งที่จะมาช่วยเราค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ได้ก็คือการทำ Customer Persona ที่ครอบคลุม เมื่อลองลิสต์ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าออกมาแล้ว ก็สามารถคิดต่อไปได้ว่า สินค้าแบบไหนที่จะเรียกคะแนนจากพวกเขาได้บ้าง
หรือหากเป็นแบรนด์ใหม่แกะกล่องที่เข้ามาเพื่อจับกลุ่มตลาดเฉพาะตั้งแต่ต้น การสังเกตปัญหาและความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด บวกกับงานบริการแบบ Empathy จะเป็นคอมโบที่สร้าง Loyalty ได้อย่างรวดเร็ว!
สรุป
Mass Market หรือตลาดสินค้าในกระแสอาจจะหาลูกค้าได้มากกว่าก็จริง แต่เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา อาจจะทำให้เหลือผู้อยู่รอดแค่ไม่กี่เจ้า…
Niche Market ซึ่งแข่งกันที่คุณภาพและความตอบโจทย์ของสินค้าและบริการ ธุรกิจในตลาดนี้จึงอาจมีโอกาสรอดมากกว่า จากการให้ในสิ่งที่ไม่มีคนให้แก่คนกลุ่มเฉพาะเล็ก ๆ นี้
อ้างอิง
