เมื่อพูดถึงค่ายรถยนต์ไฟฟ้าหลายคนคงนึกถึง Tesla เป็นอันดับแรก แต่ในปัจจุบันมีคู่แข่งมากมายที่เข้ามาท้าชิงในตลาดรถยนต์ EV โดยเฉพาะน้องใหม่ไฟแรงอย่าง BYD ที่พุ่งแซงหน้าแบรนด์รุ่นพี่ ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ในปัจจุบัน พวกเขาทำอย่างไรถึงเอาชนะได้ ทั้งที่พึ่งเข้ามาในตลาดได้ไม่นาน
จากผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ สู่การก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก
จุดเริ่มต้นของ BYD เกิดขึ้นในปี 1995 พวกเขาเริ่มธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ที่เป็นแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ และพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจนี้ จากการเป็นซัปพลายเออร์ผลิตแบตเตอรี่ให้กับโทรศัพท์ยอดฮิตอย่าง NOKIA จนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากกว่า 50%ในตลาดจีน
จนกระทั่งในปี 2002 พวกเขาตัดสินใจซื้อบริษัทผลิตรถยนต์เข้ามา โดยใช้ชื่อว่า BYD Auto และใช้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจเดิมที่ผลิตแบตเตอรี่มาต่อยอดในธุรกิจรถยนต์ ทำให้เกิดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลกในปี 2008 เป็นการพาโลกยานยนต์เข้าสู่ยุคใหม่ ที่ใช้พลังงานสะอาด
ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ BYD ได้รับความสนใจจากทั่วโลก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จักกับ BYD ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และได้รับการยอมรับในด้านเทคโนโลยีจากทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อย
ในปัจจุบันตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการจัดอันดับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท และแน่นอนว่า BYD สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้สำเร็จ ด้วยจำนวนยอดขาย 1,704,360 คันทั่วโลก
ซึ่งพวกเขามีอัตรการเติบโตขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2022 ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากโชคช่วยแต่อย่างใด แต่พวกเขาได้ใช้กลยุทธ์ที่บริษัทผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นเคยทำสำเร็จมาแล้ว นั่นก็คือการกระจายการจัดจำหน่ายรถให้กับบริษัทท้องถิ่นขนาดใหญ่ของแต่ละประเทศ
กลยุทธ์นี้ทำให้ BYD เข้าถึงลูกค้าในแต่ละประเทศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทย ที่ใช้บริษัท Rever Automotive เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ให้บริการหลังการขาย ซึ่งการใช้ประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญในการทำตลาดของแต่ละประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว จนสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้
นอกจากนี้ BYD ยังได้เลือกใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่น่าดึงดูดใจ ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำกว่าตลาด เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมัน และยังทำให้พวกเขากลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในกลุ่มของรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกด้วย
แน่นอนว่าความสำเร็จของ BYD ไม่ได้มาจากกลยุทธ์ทางการตลาดเพียงอย่างเดียว การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของโลก พวกเขาต้องพิสูจน์ตัวเองในด้านต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสินค้าและความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ซึ่งพวกเขาได้ทำให้ทั่วโลกต่างยอมรับในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมไปถึงดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในตัวรถ และความเชี่ยวชาญที่สุดของพวกเขาก็คือ แบตเตอรี่
ซึ่งแบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจที่สำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะสมถนะของรถขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการใช้งานและระยะการเดินทางที่แบตเตอรี่จะทำได้ นวัตกรรม Blade Battery ของ BYD นั้นถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของความสำเร็จนี้
Scale’s Takeaways
1. การเลือกช่องทางขาย
การเลือกช่องทางในการนำเสนอหรือส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้า ไม่ควรตัดสินใจเลือกจากต้นทุนที่ธุรกิจต้องแบกรับ แต่สิ่งที่สำคัญคือธุรกิจจะเลือกใช้ช่องทางใดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง
BYD สามารถจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วยตนเองในประเทศจีน แต่สำหรับการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ พวกเขาไม่ลืมที่จะใช้บริษัทท้องถิ่นในการเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาจะต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้นก็ตาม
2. เทคโนโลยีช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ การมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้ธุรกิจสามารถโดดเด่นและสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่งได้
ความสำเร็จของ BYD ส่วนหนึ่งมาจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้ อย่างนวัตกรรมแบตเตอรี่ Blade Battery ของ BYD ที่ทำให้พวกเขามีความแตกต่างและโดนเด่นออกมาในตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
3. ไม่หยุดพัฒนา
ถ้าหาก BYD ไม่ตัดสินใจเปลี่ยนธุรกิจจากผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ มาเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของธุรกิจเดิม มาต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ คงจะไม่มีใครรู้จักพวกเขาได้อย่างทุกวันนี้ พวกเขาอาจจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นซัปพลายเออร์ให้กับบริษัทอื่น หรือโดนธุรกิจใหม่ๆ มา Disrupt พวกเขาไป เหมือนในหลายๆ กรณีศึกษาที่เราเคยพบเห็น
สรุป
เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ธุรกิจปรับตัวได้ตามยุคสมัย BYD เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ปี 1995 แต่สามารถอยู่รอดและเติบโตได้จากการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของธุรกิจเดิมมาต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ จนประสบความสำเร็จ และขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกได้
ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในประเทศไทยที่ BYD เข้ามาทำตลาดและมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณเองก็อาจจะเคยเห็นรถยนต์ไฟฟ้า BYD ใช่ไหม? หรือคุณกำลังใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อะไร? มาแชร์ประสบการณ์ของรถยนต์ไฟฟ้ากันได้ใต้คอมเมนต์นี้เลย
อ้างอิง