ถ้าพูดถึง “เสื้อยืด” ใครๆ ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
เพราะเป็นเสื้อที่ใส่ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นวันสบายๆ หรือนัดเที่ยวกับเพื่อน
นึกอะไรไม่ออก ก็ใส่เสื้อยืดไว้ก่อน
เสื้อยืดเลยกลายเป็นสินค้าสามัญทั่วไป แบรนด์ไหนทำก็เหมือนๆ กันหมด ซื้อที่ไหนก็ไม่สำคัญ
แต่มีอยู่แบรนด์หนึ่ง ที่พยายามทำให้เสื้อยืด กลายเป็นสิ่งแตกต่าง
เมื่อย้อนดูรายได้และกำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปีของแบรนด์นี้
ปี 2563 รายได้ 117 ล้านบาท กำไร 1.7 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 218 ล้านบาท กำไร 1.8 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 506 ล้านบาท กำไร 18 ล้านบาท
จะพบว่ารายได้เติบโตเพิ่มขึ้นในแต่ละปีถึง 100 % และอัตรากำไรก็ยังเติบโตอีกด้วย!
และแบรนด์เสื้อยืดที่ว่ามานี้ ชื่อว่า “ยืดเปล่า”
เริ่มต้นจากเงินทุนเพียง 8,000 บาท
จุดเริ่มต้นมาจากคุณทนงศักด์ แซ่เอี๊ยว เจ้าของแบรนด์ยืดเปล่า ณ เวลานั้น ต้องการเพียงหาเงินในการเรียนต่อเท่านั้น จึงนำเงินของตัวเอง 3,000 บาท และเงินทุนจากคุณแม่อีก 5,000 บาท เอาเสื้อผ้าจากตลาดโรงเกลือมาขาย ตามคำแนะนำของรุ่นพี่ที่รู้จัก
ซึ่งในวันแรกก็ขายได้เพียงแค่ 200 บาทเท่านั้น…
เขาจึงพยายามปรับวิธีด้วยการเรียงสินค้าใหม่ และจัดแสงร้านให้สว่างขึ้น ซึ่งก็ทำให้ร้านของเขาขายดีขึ้น ทำให้บางวันได้มากถึงวันละ 1,000 บาท
จนสามารถขยับขยายช่องทางไปตลาดนัดจตุจักร พร้อมกับการทำกางเกงบ็อกเซอร์ขาย
ในระหว่างนั้นเขาสังเกตว่า ผ้าที่ใช้ทำกางเกงบ็อกเซอร์ ก็สามารถเอามาทำเสื้อยืดได้ด้วย จึงทำให้เขาเริ่มค้นหาผ้าสต็อกจากแบรนด์ใหญ่ๆ และได้เจอผ้าที่ดี เหมาะกับการทำเสื้อยืดมากๆ
เพราะนอกจากจะใส่สบายแล้ว ผ้ายังไม่ยืดง่ายๆ และมีความคงทนสูงด้วย
และที่สำคัญคือ ยังไม่มีใครนำผ้าที่เขาสนใจนี้ไปทำเสื้อยืดขาย และยังไม่มีร้านไหนทำแบรนด์เสื้อยืดอย่างจริงจัง เขาจึงรวบรวมเงิบเก็บทั้งหมด สร้างเป็นแบรนด์ที่ชื่อว่า “ยืดเปล่า”
ด้วยคุณภาพของเนื้อผ้านี้เอง ทำให้ยืดเปล่ามีสโลแกนที่กลายมาเป็นจุดขายที่น่าสนใจว่า “ยืด แต่ไม่ย้วย ยังง๊ายย ก็ไม่ย้วย” นั่นเอง
แบรนด์เสื้อยืดที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงวัยรุ่น
ที่มาชื่อแบรนด์ “ยืดเปล่า (Yuedpao)” มาจากแบรนด์การเกงบ็อกเซอร์ที่ทำมาคู่กัน โดยใช้ชื่อแบรนด์ “บ็อกป่ะ”
สาเหตุเพราะเห็นลูกค้าที่เป็นคู่รักผ่านหน้าร้าน แล้วอีกฝ่ายถามว่า “เอาบ็อกป่ะ?” (เอาบ็อกเซอร์ไหม?)
คุณทนงศักดิ์เห็นว่า คำที่ใช้เข้าใจง่าย คิดว่าน่าจะถูกใจคนรุ่นใหม่ เลยเอาแนวคิดนี้มาตั้งชื่อแบรนด์เสื้อยืดด้วย
จึงเกิดมาเป็นแบรนด์ “ยืดเปล่า” (เอาเสื้อยืดไหม?) นั่นเอง
ซึ่งนั่นก็ทำให้แบรนด์ยืดเปล่ามีรายได้มากกว่าที่คิดไว้ เพราะจากเดิมที่ขายเสื้อยืดตัวละ 60 บาทแบบไม่มีแบรนด์ เมื่อปรับราคาขายเป็น 100 บาทในแบรนด์ยืดเปล่า พัฒนาเสื้อให้มีคุณภาพดีขึ้น มีการบริการที่ดี เปลี่ยนภาพลักษณ์ร้านค้าให้ดูสวยงาม
กลายเป็นว่าราคา 100 บาท กลับขายดีกว่าราคา 60 บาทเสียอีก!
เพราะร้านค้าในจตุจักร ณ ขณะนั้น จะเรียงเสื้อขายกันแบบไม่มีหน้าร้าน แต่พอแบรนด์ยืดเปล่าทำให้ภาพลักษณ์ร้านค้าดูสวยงาม ยืดเปล่าเลยมีความแตกต่างจากร้านค้าในจตุจักรทุกร้านไปทันที
จาก Market สู่ Mall
ถึงแม้จะขายได้ดีในตลาดนัดจตุจักร แต่เมื่อขยายเข้าห้างสรรพสินค้า ในหมู่คนทั่วไปก็ยังไม่รู้จักแบรนด์อยู่ดี
ผลลัพธ์คือ เมื่อเข้าไปขายที่เซ็นทรัลลาดพร้าวเพียง 4 เดือน แบรนด์ยืดเปล่าก็ขาดทุนทันที
แต่ยืดเปล่าก็เห็นว่า “นี่คือโอกาสเติบโตครั้งสำคัญของแบรนด์”
ในช่วงเดือนกันยายน 2562 ยืดเปล่าจึงได้ดึงคุณแน็ก ชาลี ที่เป็นกระแสในเวลานั้น และมีภาพลักษณ์เป็นคนเข้าถึงง่าย สบายๆ มาเป็น Presenter ให้กับทางแบรนด์
ทำให้แบรนด์ยืดเปล่า เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นในหมู่วัยรุ่น
จากเดิมที่ขาดทุน ก็สามารถขายได้ถึงเดือนละ 100,000 บาท!
และในปัจจุบัน (2566) ยืดเปล่ามีสาขากว่า 50 สาขา ในห้างขนาดใหญ่มากมายที่หลายคนเคยไปเดิน เช่น เซ็นทรัล เวสต์เกส, เดอะมอลล์งามวงศ์วาน, เซ็นทรัลเวิลด์, แฟชั่นไอส์แลนด์ และแนวรถไฟฟ้า BTS รวมถึงขยายไปที่ห้างในปริมณฑลและต่างจังหวัดอีกด้วย
นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จของแบรนด์ไทยอย่าง “ยืดเปล่า” อย่างแท้จริง
แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้หลายๆ คนจะรู้จักแบรนด์ยืดเปล่ามากขึ้นแล้ว ยืดเปล่าก็ยังคงหาลูกเล่นใหม่ๆ ที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการ Collaboration เพื่อใส่ลายเสื้อยืดใหม่ๆ กับ Influencer เช่น Mootoo (สุนัขบีเกิ้ลร้อยอารมณ์ที่มีผู้ติดตามกว่า 9 หมื่นคน), XYZ Collaboration (การร่วมมือพิเศษกับศิลปิน ตั้งแต่ศิลปินตัวเล็ก ไปจนถึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เพื่อออกแบบเสื้อที่จะผลักดันสังคมไปด้วยกัน) หรือร่วมมือกับ SC Grand บริษัทผู้ผลิตผ้ารีไซเคิล ทำเสื้อยืดที่ทำจากเศษผ้ารีไซเคิล ให้กลับมาเป็นเสื้อยืดใหม่อีกครั้ง
และล่าสุด (เดือนกันยายน 2566) กับการผลักดันประเด็นปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ร่วมกับทางกลุ่มเยาวชน Youth For Next Step เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนมีโอกาสแสดงจุดยืนเพื่อสร้างสังคมที่ดีในอนาคต นอกจากนี้ยังนำกำไรหลังการขาย 10% สมทบทุนให้กับ Youth For Next Step อีกเช่นกัน
แบรนด์ยืดเปล่า คงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับทุกคน ว่าการพัฒนาธุรกิจอยู่เสมอ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ เข้าใจลูกค้า และการแก้ปัญหาอย่างสุดความสามารถ
ทำให้แบรนด์ เติบโตได้จนมียอดขายมหาศาล และมีผู้ติดตามใน Facebook กว่า 7 แสนคน
และเชื่อว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปี แบรนด์ยืดเปล่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้
ไกลกว่าจุดปัจจุบันที่ยืนอยู่ อีกหลายเท่า…
Scale’s Takeaways
1. ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อ “แบรนด์”
จากเสื้อยืดตัวละ 60 บาทที่ขายในตลาดนัดจตุจักร สู่แบรนด์ “ยืดเปล่า” ที่ขายเสื้อยืดตัวละ 100 บาท ที่ตกแต่งหน้าร้านสวยงาม มีการบริการลูกค้า ทำให้แตกต่างจากร้านอื่นๆ ในจตุจักร
การสร้างแบรนด์ “ยืดเปล่า” เป็นคำที่เข้าใจง่าย วัยรุ่นสนใจ ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำมากขึ้น จนนำไปสู่การขยายเข้าห้างสรรพสินค้า และสามารถทำยอดขายได้มหาศาลอย่างในปัจจุบัน
2. พลิกวิกฤต เป็น “โอกาส”
วิกฤตของแบรนด์ยืดเปล่าเกิดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่การลงขายที่ห้างสรรพสินค้าแล้วขาดทุนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แบรนด์ก็ตัดสินใจใช้ Presenter อย่างคุณแน็ก ชาลี และปรับการให้บริการ รวมถึงเพิ่มรูปแบบสินค้าให้มากขึ้น จนแบรนด์กลับมามีรายได้เดือนละ 100,000 บาท
หรือในปี 2564 ช่วงสถานการณ์ COVID – 19 ที่ไม่สามารถขายหน้าร้านได้เลย ทำให้แบรนด์หันมาขายทางออนไลน์มากขึ้น จนปัจจุบัน (2566) ยอดขายทางออนไลน์กลายเป็น 50% ของยอดขาย และเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้แบรนด์มีรายได้มากขึ้นอีกด้วย
3. ทัศนคติที่ดี นำไปสู่การพัฒนาที่เติบโต
“มีคู่แข่งเยอะๆ แล้วมีคนเลียนแบบ ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา”
นี่เป็นคำพูดของคุณทนงศักดิ์ เจ้าของแบรนด์ยืดเปล่า ที่มองว่าคู่แข่งไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่เป็นโค้ชที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกใจเลยว่าถึงแม้แบรนด์จะเป็นที่รู้จักแล้ว แต่ก็ยังมีแคมเปญการตลาดใหม่ๆ จากยืดเปล่าเกิดขึ้นมาอีกมากมาย และสะท้อนไปถึงรายได้ที่เติบโตเป็นเท่าตัว ในทุกๆ ปี
สรุป
และนี่คือเรื่องราวของยืดเปล่า แบรนด์เสื้อยืดที่เข้าใจ เข้าถึงวัยรุ่น และไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง
ทุกคนเคยใส่เสื้อแบรนด์ยืดเปล่าลายไหนกันบ้าง เอามาโชว์ให้พวกเราดูใน Comment ได้นะ
อ้างอิง