ในช่วงที่กระแสชาไทยฟีเวอร์กำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ทำให้ชาไทยกลายเป็นเครื่องดื่มในใจของใครหลายคน แต่รู้ไหมว่าชาไทย 1 แก้ว ให้พลังงาน 430 กิโลแคลอรี และมีน้ำตาลมากถึง 13 ช้อนชาเลยทีเดียว
แล้วจะเลือกอะไรดีระหว่าง “เครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพแต่รสชาติไม่ตอบโจทย์” กับ “ชาไทยอร่อยแต่แคลพุ่งสูงกระฉูด”?
เมื่อเกิด Pain Point ที่ลูกค้าไม่สามารถเลือกได้ขึ้น ทั้งแบรนด์ Plantae สตาร์ตอัปด้านโปรตีนพืชและ Cha Tra Mue ต้นตำรับชาไทยกว่า 80 ปีต่างก็มองเห็นถึงโอกาสการขยายฐานลูกค้าใหม่จึงร่วมมือผสานจุดแข็งเพื่อสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า
จากบทสัมภาษณ์ของลงทุนเกิล คุณพีท CEO Plantae Life เผยว่าการร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการที่ลูกค้าต่างก็เรียกร้องโปรตีนรสชาไทยมาตลอด ด้วยความที่ Plantae อยากทำสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด โปรตีนรสชาไทยจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ทั้งกลิ่นและรสชาติ ดังนั้น Solution ที่ใช่ก็คือการหาพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้านชา
ส่วนในฝั่งของคุณแพรว เจ้าของร้านชาตรามือเองก็มีความสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพ และแพลนต์เบส แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ยังไงให้ได้โปรตีนพืชรสชาไทยต้นตำหรับ ด้วยความต้องการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ไปจับในกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพมากขึ้น พาร์ทเนอร์ที่เป็นตัวจริงด้านแพลนต์เบสจึงเป็น Solution ที่จะทำให้ได้สินค้านี้มาเช่นเดียวกัน
การ Collaboration นี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การไล่ตามกระแสชาไทยฟีเวอร์ แต่เริ่มต้นจาก Passion และเป้าหมายของทั้งสองแบรนด์ที่ตรงกันคือ “คิดค้นชาไทยโปรตีนพืชที่ดีต่อสุขภาพ แต่มีรสชาติใกล้เคียงกับรสชาติต้นตำรับของชาตรามือมากที่สุด” ซึ่งตอบโจทย์ Pain Point ของกันและกันอีกด้วย
แม้จะได้เจอพาร์ทเนอร์ที่ใช่แล้ว แต่การคิดต้นสูตรกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะเป็นครั้งแรกของทั้งชาตรามือและ Plantae ในการคิดค้นโปรตีนชาไทยที่คงรสและกลิ่นชาที่เป็นเอกลักษณ์แต่มีส่วนประกอบของโปรตีนพืช 5 ชนิด ทั้งสองแบรนด์จึงปรับสูตร พัฒนา วิจัยอย่างต่อเนื่อง และผ่านการทดลองชิมกับกลุ่มเป้าหมายกว่า 100 ครั้งเลยทีเดียว
ผลสำเร็จของการร่วมมือกันในครั้งนี้คือ “ชาไทยโปรตีนพืชเชค” และ “โกโก้โปรตีนพืชเชค” ที่ให้โปรตีนสูง 20 กรัม ไม่ใส่น้ำตาลทราย นมข้นหวานและครีมเทียม และ “Plantae x ChaTraMue Complete Plant Protein รสชาไทยต้นตำรับ” ที่บรรจุในกระปุกฝาแดงตามเอกลักษณ์ของชาตรามือที่ประกอบเข้ากับความเป็น Plantae โดยล็อตแรกขายหมด 1,500 กระปุกภายใน 24 ชม.
เรียกได้ว่าเป็นการ Collaboration ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในระยะยาว และ Win-Win กันทั้งแฟนๆ ชาตรามือ และ Plantae โดยแฟนพันธุ์แท้ของชาตรามือก็สามารถดื่มชาไทยที่ยังคงความอร่อยแบบมีเอกลักษณ์ของชาตรามือ แต่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้นเพราะมีเพียง 150 แคลลอรี ในขณะที่เอฟซีของ Plantae เองที่รอคอยโปรตีนรสชาติชาไทยมานานก็ได้ลิ้มลองโปรตีนรสชาไทยที่ดีต่อสุขภาพเท่าเดิม เพิ่มเติมคือรสชาติที่ใช่ในแบบที่เขาตามหา
การ Collaboration ของ Plantae และชาตรามือยังไม่จบเพียงเท่านี้ อนาคตทั้งสองแบรนด์มีเป้าหมายส่งออกผลิตภัณฑ์ไปตีตลาดทั้งในลาว จีน และสิงคโปร์ เพื่อตอกย้ำว่าการ Collaboration ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างยอดขาย แต่เป็นการทำให้คนที่สนใจดูแลสุขภาพได้ดทานแพลนต์เบสที่อร่อยถูกปากคนไทยนั่นเอง
Scale’s Takeaways
1. Collaboration ที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากเป้าหมายเดียวกัน
การ Collaboration ที่เริ่มต้นด้วยเป้าหมายเดียวกันจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีทิศทางและแนวคิดที่เหมาะสมต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยลดความสับสนและข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีโอกาสในการต่อยอดโครงการและร่วมมือกันในระยะยาวมากกว่าการร่วมมือกันเพื่อให้เกิดกระแส อย่าง Plantae x ChaTraMue ที่เริ่มต้นจากเป้าหมายของทั้งสองแบรนด์ที่ตรงกันคือ “คิดค้นชาไทยโปรตีนพืชที่ดีต่อสุขภาพ แต่มีรสชาติใกล้เคียงกับรสชาติต้นตำรับของชาตรามือมากที่สุด” โดยอนาคตทั้งสองแบรนด์มีเป้าหมายส่งออกผลิตภัณฑ์ไปตีตลาดทั้งในลาว จีน และสิงคโปร์อีกด้วย
2. การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเป็นโอกาสที่ควรคว้าเอาไว้
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นเพียงเจ้าเดียวในตลาด จริงๆ แล้วอาจจะถูกเพียงครึ่งเดียว แต่การที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เราเองก็ไม่ถนัดอาจจะพาธุรกิจของเราไปไกลกว่าที่เราคิดไว้ อย่างกรณีนี้ที่ Plantae ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ให้โปรตีนมีกลิ่นหอมของชาที่เป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ชาตรามือก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรให้โปรตีนพืชมาอยู่ในชาชงสด หรือทำให้โปรตีนพืชรสชาไทยได้รสชาติที่กลมกล่อมใกล้เคียงต้นตำรับได้ จึงร่วมมือกันพาทั้งสองแบรนด์สร้างยอดขายได้หมดภายใน 24 ชม.เลยทีเดียว
3. Win-Win Situation คือหัวใจสำคัญของ Collaboration
นอกจากเป้าหมายที่เป็นไปในทางเดียวกันแล้ว การ Collaboration ที่ไม่ฉาบฉวยและยั่งยืน จำเป็นต้อง Win-Win ทั้งคู่ ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ Win อยู่ฝ่ายเดียว เพราะนอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อการร่วมมือกันแล้ว ยังส่งผลเสียในอนาคตอีกด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะร่วมมือกันแต่ละแบรนด์ควรมองให้ชัดเจนว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการร่วมมือกันครั้งนี้บ้าง อย่างการที่แฟนพันธุ์แท้ของชาตรามือก็สามารถดื่มชาไทยที่ยังอร่อยแบบมีเอกลักษณ์ของชาตรามือ แต่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ในขณะที่เอฟซีของ Plantae ก็ได้ลิ้มลองโปรตีนรสชาไทยที่ดีต่อสุขภาพเท่าเดิม เพิ่มเติมคือรสชาติที่เขาตามหา
สรุป
และนี่คือเรื่องราว Deep Collaboration ของแบรนด์เครื่องดื่มสองแบรนด์ดังที่มี passion และเป้าหายไปในทิศทางเดียวกัน
ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของสองแบรนด์นี้บ้าง อย่าลืมคอมเมนต์แสดงตัวกันใต้โพสต์เลย!
อ้างอิง
- https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/204505
- https://women.trueid.net/detail/3E0ZKb7G9324
- https://www.instagram.com/p/Cy0rbDbrVwZ/
- https://www.instagram.com/p/CzGeJNTLGF0/
- https://www.instagram.com/p/Cy2a8mOLdTu/
- https://www.longtungirl.com/12069