ถอดรหัสกลยุทธ์ล้ม Blockbuster คู่แข่งที่ใหญ่กว่าตนเองพันเท่าของ Netflix

01 FeatureIMG W Scale Story 1

หลายคนคงรู้จัก Netflix แพลตฟอร์มที่รวมทั้งหนังและซีรีส์ชื่อดังทั่วโลกไว้ในที่เดียว และเชื่อว่าหลายคนก็คงเคยใช้งาน Netflix กันมาบ้างแล้ว 

แต่รู้ไหมว่า? ก่อนที่ Netflix จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างทุกวันนี้ก็มีเรื่องราวและเบื้องหลังความสำเร็จที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับผู้ใช้บริการเป็นหัวใจหลัก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตามมาดูกัน

จุดเริ่มต้นของ Netflix สตรีมมิ่งชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก

ถ้าพูดถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Netflix จะเรียกว่าเกิดมาจากความชอบดูหนังของผู้ก่อตั้งอย่าง Reed Hastings และ Marc Randolph ก็คงไม่ผิด 

ในปี 1997 Netflix ให้เช่าวิดิโอโดยส่งไปรษณีย์ถึงหน้าบ้านลูกค้าในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นมากนักเพราะเจอ Blockbuster คู่แข่งรายใหญ่ Netflix จึงพยายามหาจุดขายที่แตกต่าง โดยให้เช่า DVD โดยไม่จำกัดจำนวนหนัง ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่ยืม และไม่จำกัดเวลาคืน แต่ลูกค้าต้องสมัครสมาชิกและชำระค่าบริการเป็นรายเดือน  

แม้ Netflix จะสามารถชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง Blockbuster ได้ แต่ในยุคที่พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนมาอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตทำให้ Netflix ต้องปรับตัวอีกครั้ง ในปี 2007 Netflix ได้เริ่มให้บริการสตรีมมิ่งทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Netflix เติบโตอย่างรวดเร็ว 

จุดเด่นที่ทำให้ Netflix ประสบความสำเร็จ คือ “การรู้ใจผู้ชมอย่างลึกซึ้ง (Deep Understand Audience)” Netflix พัฒนาระบบสตรีมมิ่งที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ทั้งในโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์เพื่อให้ผู้ชมสามารถรับชมคอนเทนต์ได้ทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งยังไม่มีโฆษณามาคั่นให้ผู้ชมเสียอารมณ์ระหว่างดูหนังเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ชม

นอกจากนี้ Netflix ยังเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ชมอย่างละเอียด เพื่อนำไปพัฒนาคอนเทนต์และบริการให้ตรงกับความต้องการและความสนใจของผู้ชมมากที่สุด เช่น การเก็บข้อมูลคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานชอบดูและแนะนำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาไปในทางเดียวกัน อย่างการที่เราเสพคอนเทนต์ซีรีส์เกาหลีแนว Romantic Comedy หลังจากดูจบ Netflix ก็จะแนะนำซีรีส์แนวเดียวกัน ปัจจุบัน Netflix ทำงานกับผู้ผลิตในหลากหลายประเทศเพื่อผลิตและสร้างคอนเทนต์ออกมาให้ตรงใจผู้ชมมากที่สุดทั่วทุกมุมโลก โดยไม่มีขอบเขตของวัฒนธรรมและภาษา เช่น ซีรีส์ Hunger ของไทย และ Squid Game ของเกาหลี

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Netflix ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด เพราะในปี 2022 Netflix เองสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 10 เท่า และกำไรเพิ่มขึ้นถึง 1,163.81% เลยทีเดียว 

Scale’s Takeaway

1. Deep Understand Your Audience คือหัวใจสำคัญของธุรกิจ 

สิ่งแรกก่อนที่จะคิดสร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าคือการรู้ว่าลูกค้าของธุรกิจคือใคร Netflix ประสบความสำเร็จได้จากการนำเสนอบริการเช่า DVD โดยที่ไม่จำกัดเวลาคืนทำให้ลูกค้าสามารถดู DVD กี่รอบ กี่เรื่องก็ได้ เพียงแค่แลกกับการสมัครสมาชิกที่จ่ายเงินเป็นรายเดือนแทน เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับ pain point ของลูกค้าและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

2. Having Unique Selling Point is a Must

แน่นอนว่าในการทำธุรกิจ เราจะต้องเจอคู่แข่งมากมายทั้งรายใหญ่และรายเล็ก แต่สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจปังคือจุดขายที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ อย่าง Netflix ที่สร้างจุดขายที่แตกต่าง โดยให้ลูกค้าสมัครสมาชิก เก็บค่าบริการรายเดือนแลกกับการที่สามารถเช่าวิดิโอโดยไม่จำกัดจำนวนหนัง จำนวนครั้งที่ยืม และไม่จำกัดเวลาคืน 

3. ธุรกิจที่อยู่รอดคือธุรกิจที่ปรับตัว

ในยุค Digital Disruption ที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจที่จะปังคือธุรกิจที่หมุนตามโลก แม้ Netflix จะมีจุดกำเนิดมาจากร้านให้เช่าวิดิโอ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลง อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิต Netflix ก็เริ่มปรับเปลี่ยนมาให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์แทน

สรุป

และนี่คือเรื่องราวของแบรนด์สตรีมมิ่งชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จักกันในชื่อของ Netflix 

ไหนใครเป็นแฟนซีรีส์/หนังใน Netflix คอมเมนต์แสดงตัวกันหน่อยว่าชอบซีรีส์/หนังเรื่องอะไรกันบ้าง? หรือใครมีบทเรียนที่น่าสนใจของ Netflix อย่าลืมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในคอมเมนต์ได้เลย!

อ้างอิง

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดตาม scale เพื่อเติมความรู้ดีๆ ใส่สมองก่อนใคร!

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามต่อทาง Social Media

นอกจากอีเมลแล้ว คุณยังสามารถติดตามคอนเทนต์ดีๆ ผ่าน Social Media ได้เช่นกัน

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามเราทาง Facebook

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

กดปุ่มนี้

Scroll to Top