ผู้นำแบบไหนที่เพื่อนๆ อยากติดตาม? นี่คงเป็นคำถามยอดฮิตที่ทุกคนต่างมีคำตอบที่แตกต่างกัน แต่ในชีวิตจริงคงเป็นเรื่องยากมากที่เราจะมีผู้นำหรือหัวหน้าที่ตรงตามที่ต้องการแบบ 100%
และที่น่าสนใจก็คือไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายพนักงานเท่านั้นที่อยากได้หัวหน้าในแบบที่เป็นผู้นำที่ดีที่สุด เพราะเหล่าหัวหน้าเองก็พยายามที่จะหาคำตอบเช่นกันว่าพวกเขาต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรถึงจะกลายเป็นผู้นำที่ดีให้กับลูกน้อง
เพราะฉะนั้นวันนี้เราเลยมีตัวอย่างของ 2 ผู้นำชื่อดังจากวงการบาสเกตบอล NBA ที่มีนิสัยความเป็นผู้นำที่ต่างกันสุดขั้วแต่ทั้งคู่กลับนำทีมเดียวกันไปถึงความสำเร็จได้เหมือนกัน
คนหนึ่งเป็นผู้นำที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีระเบียบวินัยเป็นเลิศ อีกคนมีความยืดหยุ่นและเน้นไปที่การชี้นำเพื่อยกระดับผู้เล่นในทีม ลองมาฟังเรื่องราวความเป็นผู้นำที่ต่างกันสุดขั้วของ Kobe Bryant และ Lebron James 2 ผู้นำจาก 2 ยุคสมัยของสุดยอดทีมบาสอย่าง Los Angeles Lakers กัน
Kobe bryant ผู้นำที่ชี้นำด้วยระเบียบวินัยจนคนอื่นคล้อยตาม
โคบี้เป็นนักบาสระดับตำนานที่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่แนวคิดเรื่องการใช้ชีวิตกับการทำงานของเขาที่เรียกว่า Mamba Mentality ยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเองให้กับคนรุ่นหลังอยู่เสมอ
แนวคิด Mamba Mentaility จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเองอย่างมีระเบียบวินัยและทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำในระดับบ้าคลั่งจนสามารถพัฒนาทักษะในด้านนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างเรื่องที่โคบี้ตื่นมาซ้อมบาสตั้งแต่ตี 4 เกือบทุกวัน การฝึกซ้อมในจุดเดิมซ้ำๆ ที่เขาทำพลาดในการแข่งขัน หรือแม้แต่การกลับมาดูเทปการแข่งขันเพื่อหาจุดอ่อนรายคนของคู่ต่อสู้ที่เขาเคยพ่ายแพ้ เป็นต้น
เมื่อตัวเองทำได้มากพอ คนอื่นก็จะได้รับพลังมาด้วย
ความมีระเบียบของโคบี้ไม่ได้ถูกนำมาพัฒนาทักษะส่วนตัวเท่านั้น ในวันที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของ Los Angeles Lakers มีเพื่อนร่วมทีมในหลายๆ รุ่นให้ความเห็นว่าความมีวินัยของโคบี้นั้นช่วยเปลี่ยนแปลงเพื่อนร่วมทีมให้มีความกระหายในการฝึกซ้อมและกระหายในชัยชนะมากขึ้น
ซึ่งหากมองจากมุมมองคนภายนอก (ผู้เล่นทีมอื่นและคนดู) โคบี้คือผู้เล่นที่ชอบเล่นบาสชายเดี่ยว เป็นคนที่เข้าถึงยากเพราะเขามักจะมีโลกส่วนตัวสูงในการฝึกซ้อมที่มีวินัยอย่างบ้าคลั่งของเขา
แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าวินัยของโคบี้นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้จริงๆ นั่นก็คือ…
The Redeem Team เหตุการณ์ที่พิสูจน์ความเป็นผู้นำของโคบี้
The Redeem Team เป็นฉายาที่ใช้เรียกทีมบาสเกตบอลของสหรัฐอเมริกาชุดโอลิมปิกปี 2008 เอาง่ายๆ นี่คือทีมชาติที่สร้างขึ้นมาเพื่อกู้ศักดิ์ศรีของชาติที่เล่นบาสเก่งที่สุดในโลก และแน่นอนว่านี่คือทีมชุดที่มีการดึงเอา Kobe Bryant เข้ามาร่วมทีมด้วย
ภาพทีมชาติสหรัฐในการแข่งบาสเกตบอลโอลิมปิกปี 2008
เพื่อนร่วมทีมในทีมชุดนี้มีการเล่าเหตุการณ์หนึ่งว่า ในวันหนึ่งหลังจากฝึกซ้อมเสร็จแล้ว พวกเขากำลังจะออกไปสังสรรค์พักผ่อนกัน ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากที่พัก เขาเห็นโคบี้เดินลงมาจากห้องในชุดกีฬาเพื่อจะไปเข้ายิมเสริมสร้างร่างกายในเวลาที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อน
หลังจากวันนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำของโคบี้ เพราะเหล่าเพื่อนร่วมทีมที่เจอเขาในเวลานั้นทุกคนต่างหยุดกิจกรรมสังสรรค์ และตามโคบี้ไปฝึกซ้อมในวันต่อๆ มา
จนสุดท้ายทีมชาติสหรัฐอเมริกาในชุดนั้น ก็คว้าแชมป์บาสเกตบอลโอลิมปิกปี 2008 ไปได้แบบขาดลอยในเกือบทุกการแข่งขัน
ผู้นำที่ตึงเกินไปใครจะชอบ?
ประโยคคำถามนี้คงเป็นที่น่าสงสัยไม่ใช่น้อย ในยุคสมัยที่แต่ละบุคคลต่างมีวิถีชีวิตที่หลากหลายและความผิดชอบที่ยากจะรับมือ แล้วถ้าเราดันมีผู้นำที่มีความเป็นระเบียบมากเกินไปแบบโคบี้อีกแบบนี้ จะมีคนที่ชอบผู้นำแบบนี้จริงๆ หรือ?
เราอยากให้เพื่อนๆ ลองคิดตามในอีกมุมมองหนึ่ง จริงอยู่ว่ายุคสมัยนี้ผู้คนควรที่จะให้เกียรติกับเวลาส่วนตัว แต่ก็มีหลายกรณีที่เราอาจจะใช้ชีวิตโดยละเลยสิ่งที่ต้องทำให้เป้าหมายสำเร็จอยู่บ่อยครั้งจนไม่ได้มีการพัฒนาไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้เท่าที่ควร
เคสหนักๆ ก็คือการจมอยู่กับความคิดที่ว่า “ตัวเองไม่เก่ง” จนไม่สามารถมีมุมมองหรือแนวคิดที่ดีมากพอที่จะพัฒนาตัวเองอย่างยั่งยืน
การเป็นผู้นำแบบโคบี้หากดูจากภายนอกอาจจะดูเป็นการชี้นำที่ดูน่าอึดอัด เจ้าระเบียบ และไม่ให้เกียรติต่อเวลาส่วนตัว แต่ด้วยการเป็นผู้นำแบบโคบี้นี่แหละที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับตัวตน สามารถเปลี่ยนคนที่ไม่ได้ทุ่มเทกับสิ่งที่ต้องการเท่าที่ควรได้เห็นถึงเส้นทางและสิ่งที่ตัวเองยังขาด
เหมือนอย่างที่เพื่อนร่วมทีมใน “ทีมบาสเกตบอลของสหรัฐอเมริกา” ได้รับในการแข่งโอลิมปิกปี 2008
การเป็นผู้นำแบบโคบี้อาจจะเป็นแนวทางการเป็นผู้นำที่จำเป็นมากๆ ในยุคสมัยที่ผู้คนต้องจัดการและรับผิดชอบกับชีวิตในหลายๆ ด้าน จนอาจจะละเลยสิ่งสำคัญที่ทำให้หลุดแนวทางในชีวิตไปบ้างก็เป็นได้
Lebron James ผู้นำที่ยกระดับคนอื่นด้วยการมอบโอกาส
เลบรอน เจมส์ นักบาสระดับตำนานที่มีอายุมากที่สุดของ NBA ในปัจจุบัน และยังเป็นคนที่ทำลายสถิติต่างๆ ของโลกบาสเกตบอลมาแล้วมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักบาสที่เก่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักตั้งแต่ตอนที่เขาได้เข้ามาโลดแล่นในวงการจวบจนปัจจุบัน ก็คือทักษะความเป็นผู้นำของเขาที่ไม่ว่าจะย้ายไปเล่นให้กับทีมไหนก็ตาม เขาสามารถยกระดับทีมเหล่านั้นแบบก้าวกระโดด จนทำให้ผู้เล่นชื่อดังหลายๆ คนในลีคอยากย้ายทีมเพื่อมาร่วมงานกับเขา
อะไรคือ “ความเป็นผู้นำ” ของ เลบรอน เจมส์ ที่แตกต่างจากโคบี้และแนวทางการเป็นผู้นำของเขา จะเรียกว่าเป็นผู้นำที่ดีได้มากน้อยขนาดไหน มาฟังเรื่องราวความเป็นผู้นำของตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่คนนี้กัน
เก่งคนเดียวไม่พอ คนรอบข้างต้องเก่งด้วย
ตลอดเส้นทางอาชีพของเลบรอน เขามักเป็นจุดเด่นอยู่เสมอด้วยสภาพร่างกายระดับพระเจ้าประทาน และทักษะการเล่นบาสที่เหนือกว่าคนอื่นด้วยพรสวรรค์อันล้นเหลือ จนทำให้ไม่ว่าจะย้ายไปเล่นทีมไหนก็ตาม เขาจะต้องกลายเป็นผู้นำของทีมอยู่เสมอเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือคนในทีมต่างๆ ที่เลบรอนย้ายไปเล่นด้วยนั้นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น เพื่อส่งเสริมการเล่นของเลบรอนแทน ซึ่งนั้นก็ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นของผู้เล่นบางคนตกลงอย่างมีนัยยะ และกระแสข่าวต่างๆ ก็ชอบออกมาโจมตีเลบรอนว่าเป็นผู้เล่นที่ทำให้ผู้เล่นคนอื่นต้องปรับตัวตามตัวเขา
เป็นเพื่อนร่วมทีมเลบรอน มักตกเป็นข่าวเสมอ
แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เลบรอนทำนั้น เรียกได้ว่ามีความเป็นผู้นำสูงมากด้วยความที่ผู้เล่นที่เป็นเพื่อนร่วมทีมของซูเปอร์สตาร์อย่างเขา มักจะตกเป็นข่าวในเวลาที่ฟอร์มตกแทบจะตลอดเวลาความกดดันที่ได้จากสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะรับได้เสมอไป
แต่เมื่อมีผู้เล่นในทีมฟอร์มตกเลบรอนจะทำการเข้าไปพูดคุยกับผู้เล่นเหล่านั้นและให้กำลังใจกับสิ่งที่ผู้เล่นเหล่านั้นทำผิดพลาดในสนาม และมอบโอกาสให้กับผู้เล่นเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเพื่อนร่วมทีมของเขาหลายๆ คน มีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นในเวลาถัดมา
มีครั้งหนึ่งในเกมการแข่งขัน มีเพื่อนร่วมทีมของเขาได้ลูกส่งจากเลบรอนเพื่อชู้ตลูกสำคัญที่ตัดสินเกมพลาดจนทำให้ทีมของเขาพ่ายแพ้ นั่นคงเป็นสิ่งที่แทบจะทำลายความเชื่อมั่นของผู้เล่นคนนั้นเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจบเกม เลบรอนเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมทีมคนนั้นแล้วบอกว่า “เกมหน้าฉันจะส่งลูกให้นายอีก” นั่นคือสิ่งที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมคนนั้น ทึ่งในความเป็นผู้นำที่สุดยอดของเลบรอน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในเกมต่อมา เพื่อนร่วมทีมคนนั้นก็มีโอกาสรับลูกส่งจากเลบรอนอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ เขาทำมันได้สำเร็จเขาชู้ตลูกสำคัญลงและได้รับคำชมจากเลบรอนอีกด้วย
หลังจบเกมนั้นมีนักข่าวถามเลบรอนในการสัมภาษณ์ว่า ทำไมคุณถึงเลือกที่จะส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีมที่เคยทำพลาดในครั้งก่อน เขาตอบทำนองว่า
“เขาเป็นนักบาสเกตบอล สิ่งที่เขาต้องทำคือการหาโอกาสในการชนะมากที่สุด เขาไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะเป็นคนชู้ตลูกปิดเกม ถ้าเพื่อนร่วมทีมของเขาว่างเขาก็จะมั่นใจในเพื่อนร่วมทีมแล้วส่งลูกไปให้ ต่อให้ลูกจะไม่ลงก็ไม่เป็นอะไรเพราะนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดแล้ว”
จากเหตุการณ์นี้เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า เลบรอน เจมส์ มีความเป็นผู้นำที่สูงมาก เขาไม่ได้คิดเลยว่าตัวเขาจะต้องเป็นจุดเด่นหากเพื่อนร่วมทีมมีโอกาสที่จะทำให้ทีมชนะมากกว่า เขาก็พร้อมที่จะส่งเสริมในแนวทางเหล่านั้น
และนี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เล่นกับเลบรอน ต่างจะมีฟอร์มการเล่นที่พัฒนาขึ้นในหลายๆ ด้าน ต่างจากที่กระข่าวมักโจมตีว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นหลายคนฟอร์มตก
ในชีวิตจริงคงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าเราได้ทำงานกับผู้นำที่มีการให้โอกาสในเวลาที่เราทำผิดด้วยความเข้าใจและมีการแนะนำเพื่อการพัฒนาขององค์กร
ผู้นำแบบนี้ไม่ใช่แค่จะซื้อใจคนในทีมได้เท่านั้นแต่แนวทางแบบนี้จะช่วยปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการทำงาน ทำให้คนในองค์กรมีเป้าหมายเดียวกัน รวมไปถึงการส่งต่อสิ่งแวดล้อมดีๆ ในการทำงานไปยังคนอื่นด้วย นับว่านี่เป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจมากๆ สำหรับผู้นำ
ผู้นำที่มีความเป็นเพื่อน ใครก็อยากเข้าหา
อีกสิ่งที่ทำให้ เลบรอน เจมส์ เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมนั่นก็คือ การที่เขาปฏิบัติกับคนในทีมเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ในทุกๆ ครั้งที่จะมีผู้เล่นย้ายมาอยู่ทีมที่เลบรอนอยู่ หรือเลบรอนย้ายไปอยู่ด้วยนั้นมักจะมีภาพข่าวที่เขากับผู้เล่นของทีมเหล่านั้นไปทานข้าวกันที่บ้านอยู่เสมอ
นี่คือการเข้าหาของเลบรอนที่นอกจากในสนามแล้ว เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในทีมด้วย
อย่างในฤดูกาลปัจจุบันผู้เล่นเอเชียอย่าง Rui Hachimura ก่อนเปิดฤดูกาลเขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าช่วงปิดฤดูกาลเขาได้มีการไปฝึกฝนกับเลบรอนอยู่เป็นประจำเขาได้เรียนรู้ทั้งทักษะและจิตใจของผู้ชนะ
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือรุยนั้นมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในการล่าแชมป์ในปีนี้
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่านอกเหนือจากเวลาฝึกซ้อมหรือการแข่งขันเลบรอนนั้นเป็นผู้นำที่ไม่ว่าใครต่างก็สามารถเข้าหาได้ การวางตัวเป็นเหมือนเพื่อนของเลบรอนเป็นสิ่งที่ช่วยลดกำแพงของทั้งบทบาทหน้าที่และอายุทำให้คนในทีมมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจวบจนส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาในที่สุด
ความแตกต่างของ Kobe Bryant และ Lebron James
มาถึงจุดนี้หากมองเผินๆ คงจะมีแต่คนที่อยากมีผู้นำแบบ เลบรอน เจมส์ ใช่ไหม และอาจจะมองว่าการเป็นผู้นำแบบโคบี้นั้นอาจจะส่งผลกระทบในด้านลบมากกว่าด้านดี
แต่อย่างที่เล่าไปทั้งหมด การเป็นผู้นำของทั้ง 2 คนนี้มีความแตกต่างกันมากแต่สิ่งที่การันตีได้อย่างชัดเจนว่าการเป็นผู้นำของทั้งคู่สามารถทำให้คนๆ หนึ่งหรือองค์กรหนึ่งประสบความสำเร็จได้นั่นก็คือ การคว้าแชมป์ของลีคบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง NBA
การมองคนที่เป็นผู้นำมันไม่ใช่เพียงแค่การเลือกอุปนิสัยที่เราชื่นชอบ ผู้นำบางคนถึงแม้การกระทำของเขาจะดูเข้มงวดหรือทำอะไรเกินขอบเขตไปบ้าง แต่อยากให้มองถึงจุดประสงค์ของเขาว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ในขณะเดียวกันผู้นำที่ดีเลิศและเป็นที่รักไปซะทุกอย่างอาจจะทำให้คุณเคยตัวกับสิ่งที่เป็นอยู่จนไม่เกิดการพัฒนาก็เป็นได้
Scale’s Takeaways
- ผู้นำที่ตึงเกินไปอาจจำเป็นกับยุคนี้ก็ได้
ในยุคที่ผู้คนต่างเร่งความเร็วและรับผิดชอบหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต จนบางครั้งอาจละเลยสิ่งสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายประสบความสำเร็จแบบนี้
การมีผู้นำที่เจ้าระเบียบและผลักดันเราด้วยความเข้มงวดด้วยการกระทำของตัวเองเป็นแบบอย่าง ก็อาจเป็นหนึ่งในรูปแบบของผู้นำที่ยุคนี้ต้องการก็เป็นได้
- ผู้นำที่น่าเข้าหา คือผู้นำที่มีความเป็นเพื่อน
ในยุคนี้การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญการจะนำองค์กรหรือบุคลากรไปในทิศทางเดียวกันคนที่เป็นผู้นำควรจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในองค์กร หรือก็คือต้องให้คนในองค์กรเข้าหาได้ง่ายราวกับเป็นเพื่อน
การทำเช่นนั้น นอกจากจะทำให้คนในทีมเกิดความไว้ใจแล้ว ยังสามารถทำให้พวกเขาเข้าใจแนวทางการทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเต็มใจ จวบจนสามารถพัฒนาองค์กรไปในทิศทางเดียวกันได้แบบยั่งยืน
- ไม่มี “ผู้นำที่ดีที่สุด” มีแต่ “ผู้นำที่พร้อมจะดีที่สุด”
คำว่า “ผู้นำที่ดี” ของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไปตามบริบทและสังคม เพราะฉะนั้นคำว่า “ผู้นำที่ดีที่สุด” จึงไม่มีจริงจะมีก็แต่ “ผู้นำที่พร้อมจะดีที่สุด” หรือก็คือผู้นำที่พร้อมจะปรับตัวและเข้าหาคนในทีมหรือผู้ติดตาม ให้ทั้งสองฝ่ายมีแนวทางแบบเดียวกัน
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่เจ้าระเบียบอย่าง Kobe Bryant หรือผู้นำที่แสนอ่อนโยนอย่าง Lebron James ต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันสิ่งสำคัญก็คือผู้นำแบบไหนคือผู้นำที่เหมาะกับตัวเราในปัจจุบันที่เราพร้อมจะเรียนรู้และเดินหน้าไปด้วยกันกับผู้นำเหล่านั้น
และไม่ใช่แค่การเป็นผู้ติดตามที่ดี ในวันหนึ่งที่เราเติบโตขึ้นเราจะต้องกลายเป็นผู้นำด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นจงเลือกติดตามผู้นำที่เราอยากเป็นแบบเขา เหมือนกับที่โบราณเขาว่า “เลือกติดตามใคร อนาคตเราก็จะเป็นแบบนั้น”
ในวันหนึ่งเราก็จะต้องส่งต่อการเป็นผู้นำที่ดีเหล่านี้ให้กับคนรุ่นต่อไปด้วยเช่นกัน
เพื่อนๆ ล่ะครับมีผู้นำแบบที่ตัวเองอยากจะติดตามเขาไปแล้วหรือยัง…? ขอให้ได้พบกับผู้นำที่ต้องการสักวันหนึ่งนะครับ