ตะเกียบคู่เดียวสะเทือนทั้งจีน! เรื่องราวที่ Dolce & Gabbana ต้องจดจำไปตลอดกาล

FeatureIMG B Scale Story ตะเกียบคู่เดียว

ถ้าพูดถึง Dolce & Gabbana ก็คงจะต้องนึกภาพถึงแบรนด์แฟชั่นดีไซน์หรูหราที่สาวๆ หลายคนต้องเคยได้ยินหรือรู้จักสักครั้ง 

Dolce & Gabbana เริ่มต้นมาจากสองผู้ก่อตั้งอย่าง Domenico Dolce และ Stefano Gabbana 

ผู้เป็นดีไซน์เนอร์จากประเทศอิตาลี (ซึ่งชื่อแบรนด์ก็มาจากนามสกุลของทั้งสองคนนั่นเอง) 

โดยแบรนด์นี้มีจุดเด่นอย่างมากในเรื่องของความหรูหรา และการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา เพื่อผู้หญิงที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้แบรนด์ยังมีส่วนในการออกแบบชุดให้กับนักร้องดังระดับโลกมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Madonna, Beyoncé, Mary J. Blige รวมไปถึงแบรนด์ก็ออกแบบชุดคอลเลคชั่นสำหรับผู้ชายด้วยเช่นกัน แล้วก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี  

Dolce & Gabbana ตีตลาดไปหลากหลายประเทศทั่วโลกถึง 371 สาขา (ข้อมูลในปี 2024) ถ้านับเฉพาะในทวีปเอเชีย ก็มีด้วยกันถึง 103 สาขา ทั้งในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย 

และประเทศที่สำคัญอย่าง “ประเทศจีน” ที่มีอยู่ถึง 47 สาขา 

แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านั้นในปี 2018 จำนวนสาขาของ Dolce & Gabbana มีอยู่ด้วยกันถึง 56 สาขา 

ก่อนที่หลายสาขาจะปิดตัวไปด้วยเหตุการณ์บางอย่าง… 

แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่าง Dolce & Gabbana กับประเทศจีนกันแน่? 

ตะเกียบคู่เดียวก่อเหตุ

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2018 กับโฆษณาของ Dolce & Gabbana 

โฆษณานี้ก็จะดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าสิ่งนั้นเป็นเพียงการขายเสื้อผ้าแบบธรรมดาทั่วไป 

ที่โชว์การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Dolce & Gabbana 

แต่ภาพที่ปรากฎในโฆษณานั้น กลับเป็นภาพของหญิงสาวหน้าตาดีที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าของ Dolce & Gabbana 

กำลังถือตะเกียบคนละข้างด้วยทั้งสองมือในท่าทางที่ไม่ค่อยถนัดนัก แล้วใช้ตะเกียบนั้นจิ้มพิซซ่าแล้วคีบออกมา นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการกินอาหารอิตาเลียนอื่นๆ โดยใช้ตะเกียบออกมา เช่น สปาเกตตี, แคนโนลี 

ซึ่งภาพที่ออกมานี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวจีนเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรง และนำเอาความแตกต่างทางวัฒนธรรมการกินอย่างการใช้ตะเกียบ สื่อไปในทางดูถูกคนจีน ทำให้เกิดความไม่พอใจกับคนจีนไปทั่วทั้ง Social Media และเอาสินค้าของ Dolce & Gabbana ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหรือรองเท้า ออกมาทำลายทิ้งให้เห็นโดยทั่วกัน 

เรื่องราวที่ไม่จบง่ายๆ

หาก Dolce & Gabbana ออกมาขอโทษหรือแถลงการณ์ออกมาอย่างจริงใจ เรื่องราวก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้ 

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น 

เมื่อมีข้อความใน Instagram ของ Stefano Gabbana หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์หลุดออกมาในเรื่องความรู้สึกหลังจากคลิปโฆษณาเจ้าปัญหาถูกปล่อยออกไป โดยในข้อความนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น 

  • “คนใน office ฉันมันซื่อบื้อ กลัวพวกคนมีอำนาจในจีน แต่ถ้าเป็นฉันละก็จะไม่มีทางลบ Social Media Account ในจีนหรอก” 
  • “ถ้าเกิดว่าฉันได้ออกสัมภาษณ์ละก็ ฉันจะบอกกับนักข่าวว่าประเทศนี้มันเป็นเมือง 💩💩💩💩💩” 

ความไม่พอใจจากเดิมที่หนักอยู่แล้ว ตอนนี้กลับลุกลามไปเหมือนไฟลามทุ่ง ถึงแม้ภายหลัง Stefano Gabbana จะออกมาบอกว่า Instagram ของเขาถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแฮ็กข้อมูล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาวจีนรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด 

แถมชาวจีนยังเอาภาพที่ Stefano Gabbana ออกมาแถลงว่า Not Me (ไม่ใช่ฉัน (ที่พิมพ์ข้อความนี้ออกไป)) ออกมาล้อเลียนใน Social Media และติด hashtag #BoycottDolce #NOTME พร้อมกับเอาข้อความเหล่านั้นไปแปะตามแต่ละสาขาในเมืองจีนเพื่อแสดงความไม่พอใจด้วย 

นอกจากคนทั่วไปที่ไม่พอใจแล้ว เหล่านักแสดงชื่อดังในจีน เช่น Dilireba, Li Bingbing ก็ได้ออกมาประกาศยกเลิกการร่วมงานกับแบรนด์ และยกเลิกการไปแฟชั่นโชว์ของแบรนด์เองที่จะเกิดขึ้นในจีน 

หลังกระแสที่รุนแรงจาก hashtag #BoycottDolce ทำให้รัฐบาลจีนต้องยกเลิกแฟชั่นโชว์ดังกล่าวอย่าง The Great Show ในเซี่ยงไฮ้ไปในทันที ก่อนงานเริ่มเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น! 

และหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้เพียง 8 วัน ก็ทำให้หุ้น Dolce & Gabbana (D&G) ขาดทุนไปมากถึง 37.6 พันล้านหยวน 

(คิดเป็นเงินไทยเกือบ 1.9 หมื่นล้านบาท!!)

Scale’s Takeaways

1. วัฒนธรรมแต่ละประเทศ เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความเคารพ ไม่ใช่ทำลาย  

สาเหตุหลักของเรื่องราวอันใหญ่โตนี้ เกิดมาจากการตัดสินภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมชาวจีน และการไม่เคารพความเป็น “ชาวจีน”

แน่นอนว่าชาวจีนทุกคนรู้ดีว่าการกินพิซซ่าและสปาเกตตีนั้นต้องทำอย่างไร แต่ภาพของโฆษณานั้นกลับสื่อว่า ชาวจีนใช้ตะเกียบกับอาหารทุกสิ่งอย่าง และยังมีการพากย์เสียงภาษาจีนเป็นเชิงบอกว่า ต้องกินอาหารเหล่านี้อย่างไรให้ถูกต้อง จนทำให้ชาวจีนรู้สึกว่าพวกเขาเป็น “คนซื่อบื้อ” ในสายตาของแบรนด์ 

2. ความเชื่อใจ หากถูกทำลายไปแล้ว ก็ยากที่จะกลับมา 

สุดท้ายเรื่องราวนี้จบลงด้วยการที่แบรนด์ออกมาขอโทษผ่านแฮชแท็ก #DGLovesChina และยืนยันว่าแบรนด์มีความเคารพประเทศและคนจีนเป็นอย่างมาก 

และถึงแม้ Dolce & Gabbana ยังคงเติบโตในประเทศอื่นๆ อยู่ แต่สำหรับในประเทศที่เคยเป็นแหล่งทำเงินของแบรนด์อย่างจีนนั้น ถึงแม้ยอดขายในปี 2021 จะกลับขึ้นมาที่ 20% แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าในช่วงที่ไม่เกิดเรื่องราวสุดดราม่า บวกกับช่วงสถานการณ์ COVID – 19 ทำให้ยอดขายของแบรนด์ลดลงมาถึง 15%  

ในตอนนี้ Dolce & Gabbana ยังคงอยากให้ความสัมพันธ์กับชาวจีนดีดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นการจัดนิทรรศการ หรือการเอา Virtual Influencer มาดึงดูดคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า Dolce & Gabbana จะทำได้สำเร็จหรือไม่?  

3. คำพูดเป็นนายเราตลอดไป 

ทำไมชาวจีนถึงไม่เชื่อสิ่งที่ Stefano Gabbana ออกมาแถลงเรื่องข้อความหลุดใน Instagram? 

เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา Stefano Gabbana ก็ออกมาพูดจาเสียหายในเชิงดูถูกคนอื่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • ล้อเลียน Selena Gomez ใน Instagram ว่า “เธอมันตัวน่าเกลียด”  
  • ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวชื่อดังว่า “ไม่อยากให้ดีไซเนอร์ญี่ปุ่นมาออกแบบให้ Dolce & Gabbana ” 
  • ต่อต้านคนรักเพศเดียวกัน โดยออกมาบอกในเชิงว่า “เราต่อต้านคนรักร่วมเพศ และผู้ปกครองของบุตรบุญธรรมควรเป็นชาย-หญิง เพราะครอบครัวที่แท้จริงคือครอบครัวแบบดั้งเดิม”

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา จากคำพูดที่เขาสื่อสาร จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาวจีนถึงไม่เชื่อในสิ่งที่ Stefano Gabbana  พูดเลยแม้แต่นิดเดียว

สรุป

และนี่คือเรื่องราวระหว่าง Dolce & Gabbana และความสัมพันธ์กับชาวจีนที่ยากจะดีดังเดิม 

คุณเคยเจอเหตุการณ์ไหนคล้ายกับ Dolce & Gabbana หรือไม่ ลองมาแชร์ให้เราฟังได้เลย 

อ้างอิง

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดตาม scale เพื่อเติมความรู้ดีๆ ใส่สมองก่อนใคร!

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามต่อทาง Social Media

นอกจากอีเมลแล้ว คุณยังสามารถติดตามคอนเทนต์ดีๆ ผ่าน Social Media ได้เช่นกัน

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามเราทาง Facebook

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

กดปุ่มนี้

Scroll to Top