รู้จักกับ BytePlus: บริษัทพี่/น้องของ TikTok

FeatureIMG BytePlus

รู้หรือไม่? ว่าคุณสามารถเอาเทคโนโลยีที่ TikTok มี มาใช้กับบริษัทของคุณได้

บริษัทแม่ของ TikTok มีชื่อว่า ByteDance ซึ่งอาณาจักรของ ByteDance นั้นอาจจะกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่หลายๆ คนคิด

Portfolio ของ ByteDance

ByteDance นั้นมีบริษัทใน Portfolio อยู่หลายเจ้าได้แก่

Bytedance Portfolio
รูปถ่ายจากงาน Age of AI: Reimagine Customer Experiences in the Digital Era วันที่ 31 ตุลาคม 2023
  1. TikTok ที่คนไทยแทบทุกคนน่าจะต้องมี Account และใช้งานอยู่ (หรืออย่างน้อยๆ ต้องเคยเข้าไปไถ Feed ดูคลิปมาบ้าง)
  2. Douyin ที่เป็นแอปที่เกิดมาก่อน TikTok การใช้งานใกล้เคียงกัน แต่ฟังก์ชั่นเยอะกว่า มีความเป็น Superapp
  3. Capcut ที่เป็นแอปตัดต่อวิดีโอชื่อดังที่ฟรีและดี
  4. Lemon8 ที่เป็น Social Media ที่เน้นแชร์รูปและวิดีโอที่ตอนนี้กำลังมาแรงมากๆ เหมือนกัน
  5. Lark ที่เป็นเครื่องมือในการพูดคุยเรื่องงานสำหรับองค์กร (คล้ายๆ Slack หรือคล้ายๆ LINE แต่เป็นเวอร์ชั่นสำหรับใช้ทำงาน)
  6. BytePlus ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีและที่ปรึกษาสำหรับองค์กร

จะเห็นได้ว่าพวกเขามีธุรกิจหลากหลายจริงๆ

และเนื่องจากว่าแอปอย่าง TikTok, Douyin, Lemon8 และ Capcut มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนเยอะมากๆ ก็เลยส่งผลให้ ByteDance

  1. มีข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาล
  2. มีเทคโนโลยีต่างๆ ให้ทดสอบเยอะ

BytePlus ช่วยทำอะไรได้บ้าง?

ยานแม่อย่าง ByteDance เอาความรู้และข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากแอปมีที่คนใช้งานเยอะมาต่อยอดต่อผ่านบริษัทที่ชื่อว่า BytePlus ซึ่งพวกเขามีทั้งเทคโนโลยีที่ช่วย

  • สร้างคอนเทนต์ (Creation)
  • ทำคอนเทนต์ให้ดีขึ้น (Enhancement)
  • เป็นระบบ Backbone ในการเผยแพร่คอนเทนต์ (Platform)
  • ส่งคอนเทนต์ให้เฉพาะบุคคล (Personalization)
  • เก็บและจัดการข้อมูล (Optimization)

ความหมายคือว่าถ้าธุรกิจไหนอยากจะได้เทคโนโลยีที่ทาง ByteDance ใช้กับแอปต่างๆ ของพวกเขา ก็สามารถติดต่อเข้าไปขอใช้บริการได้

ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกับบริษัทเทคโนโลยี Social Media ยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้าในตลาดมาก และ Movement นี้ก็เป็นที่น่าจับตามองดูว่ามันจะสร้างโอกาสให้พวกเขาได้ขนาดไหน และที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจที่ใช้บริการพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร

Scale’s Takeaway

จริงๆ สิ่งที่ ByteDance ทำไม่ใช่เรื่องใหม่

วิธีการนี้มีธุรกิจยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเคยทำและประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายมาแล้ว

ธุรกิจนั้นชื่อว่า “Amazon” ที่เริ่มต้นด้วยการสร้างร้านหนังสือออนไลน์ ต่อยอดมาเป็นระบบ eCommerce อย่างเต็มตัว ซึ่งเนื่องจากว่าพวกเขามีจำนวนผู้ใช้งานและสินค้าเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็เลยปรับแต่งระบบหลังบ้านจนเรียกได้ว่ามี “Best-in-class Technology”

ซึ่งพวกเขาเองก็ได้เอาความรู้และเทคโนโลยีหลังบ้านที่มีมาเปิด Service ใหม่อย่าง AWS หรือ Amazon Web Services ที่เป็นระบบ Cloud Platform ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับใครก็ตามที่อยากทำธุรกิจออนไลน์ และพวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสถิติจาก Statista ได้บอกว่า Amazon คือเบอร์ 1 ของตลาด Cloud Platform ครองตลาดได้มากกว่า 32%

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกๆ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องยึดติดกับธุรกิจเดียว ไม่จำเป็นต้องมี Business Model แบบเดียว

ยิ่งธุรกิจกระจายความเสี่ยง (Diversify) ด้วยการใช้ประโยชน์ (Leverage) จากสิ่งที่เป็นจุดแข็งของตัวเองได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competive Advantage) มากเท่านั้น

คุณมีกรณีศึกษาอื่นๆ ของการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจอีกรึเปล่า มาแชร์กันต่อได้ในคอมเมนต์นะ!

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดตาม scale เพื่อเติมความรู้ดีๆ ใส่สมองก่อนใคร!

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามต่อทาง Social Media

นอกจากอีเมลแล้ว คุณยังสามารถติดตามคอนเทนต์ดีๆ ผ่าน Social Media ได้เช่นกัน

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามเราทาง Facebook

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

กดปุ่มนี้

Scroll to Top