รู้หรือไม่? ว่าคุณสามารถเอาเทคโนโลยีที่ TikTok มี มาใช้กับบริษัทของคุณได้
บริษัทแม่ของ TikTok มีชื่อว่า ByteDance ซึ่งอาณาจักรของ ByteDance นั้นอาจจะกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่หลายๆ คนคิด
Portfolio ของ ByteDance
ByteDance นั้นมีบริษัทใน Portfolio อยู่หลายเจ้าได้แก่
- TikTok ที่คนไทยแทบทุกคนน่าจะต้องมี Account และใช้งานอยู่ (หรืออย่างน้อยๆ ต้องเคยเข้าไปไถ Feed ดูคลิปมาบ้าง)
- Douyin ที่เป็นแอปที่เกิดมาก่อน TikTok การใช้งานใกล้เคียงกัน แต่ฟังก์ชั่นเยอะกว่า มีความเป็น Superapp
- Capcut ที่เป็นแอปตัดต่อวิดีโอชื่อดังที่ฟรีและดี
- Lemon8 ที่เป็น Social Media ที่เน้นแชร์รูปและวิดีโอที่ตอนนี้กำลังมาแรงมากๆ เหมือนกัน
- Lark ที่เป็นเครื่องมือในการพูดคุยเรื่องงานสำหรับองค์กร (คล้ายๆ Slack หรือคล้ายๆ LINE แต่เป็นเวอร์ชั่นสำหรับใช้ทำงาน)
- BytePlus ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีและที่ปรึกษาสำหรับองค์กร
จะเห็นได้ว่าพวกเขามีธุรกิจหลากหลายจริงๆ
และเนื่องจากว่าแอปอย่าง TikTok, Douyin, Lemon8 และ Capcut มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนเยอะมากๆ ก็เลยส่งผลให้ ByteDance
- มีข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาล
- มีเทคโนโลยีต่างๆ ให้ทดสอบเยอะ
BytePlus ช่วยทำอะไรได้บ้าง?
ยานแม่อย่าง ByteDance เอาความรู้และข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากแอปมีที่คนใช้งานเยอะมาต่อยอดต่อผ่านบริษัทที่ชื่อว่า BytePlus ซึ่งพวกเขามีทั้งเทคโนโลยีที่ช่วย
- สร้างคอนเทนต์ (Creation)
- ทำคอนเทนต์ให้ดีขึ้น (Enhancement)
- เป็นระบบ Backbone ในการเผยแพร่คอนเทนต์ (Platform)
- ส่งคอนเทนต์ให้เฉพาะบุคคล (Personalization)
- เก็บและจัดการข้อมูล (Optimization)
ความหมายคือว่าถ้าธุรกิจไหนอยากจะได้เทคโนโลยีที่ทาง ByteDance ใช้กับแอปต่างๆ ของพวกเขา ก็สามารถติดต่อเข้าไปขอใช้บริการได้
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกับบริษัทเทคโนโลยี Social Media ยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้าในตลาดมาก และ Movement นี้ก็เป็นที่น่าจับตามองดูว่ามันจะสร้างโอกาสให้พวกเขาได้ขนาดไหน และที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจที่ใช้บริการพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร
Scale’s Takeaway
จริงๆ สิ่งที่ ByteDance ทำไม่ใช่เรื่องใหม่
วิธีการนี้มีธุรกิจยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเคยทำและประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายมาแล้ว
ธุรกิจนั้นชื่อว่า “Amazon” ที่เริ่มต้นด้วยการสร้างร้านหนังสือออนไลน์ ต่อยอดมาเป็นระบบ eCommerce อย่างเต็มตัว ซึ่งเนื่องจากว่าพวกเขามีจำนวนผู้ใช้งานและสินค้าเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็เลยปรับแต่งระบบหลังบ้านจนเรียกได้ว่ามี “Best-in-class Technology”
ซึ่งพวกเขาเองก็ได้เอาความรู้และเทคโนโลยีหลังบ้านที่มีมาเปิด Service ใหม่อย่าง AWS หรือ Amazon Web Services ที่เป็นระบบ Cloud Platform ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับใครก็ตามที่อยากทำธุรกิจออนไลน์ และพวกเขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสถิติจาก Statista ได้บอกว่า Amazon คือเบอร์ 1 ของตลาด Cloud Platform ครองตลาดได้มากกว่า 32%
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกๆ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องยึดติดกับธุรกิจเดียว ไม่จำเป็นต้องมี Business Model แบบเดียว
ยิ่งธุรกิจกระจายความเสี่ยง (Diversify) ด้วยการใช้ประโยชน์ (Leverage) จากสิ่งที่เป็นจุดแข็งของตัวเองได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competive Advantage) มากเท่านั้น
คุณมีกรณีศึกษาอื่นๆ ของการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจอีกรึเปล่า มาแชร์กันต่อได้ในคอมเมนต์นะ!