ภัยเงียบที่ไม่เงียบของโลกเราตอนนี้ นั่นก็คือการที่น้ำแข็งทั่วโลกเกิดการละลายอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการจากสภาวะ “โลกเดือด” จากรายงานของ WWF ระบุว่า 13% ของน้ำแข็งขั้วโลกใต้ เกิดการละลายอย่างรวดเร็วมากในทุก 10 ปี ซึ่งภายในปี 2050 น้ำแข็งที่นั่น อาจละลายจนหมด
สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในการตระหนักรู้ในชีวิตประจำวันของเรา แต่จากสภาวะโลกเดือดช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ก็อาจทำให้หลายๆ คน เริ่มเห็นถึงผลกระทบของภัยธรรมชาตินี้แล้วไม่มากก็น้อย
แต่ตอนนี้เรามีผู้ที่คิดค้นนวัตกรรมสุดเจ๋งที่จะมาช่วยฟื้นฟูน้ำแข็งขั้วโลกโดย Arctic Reflections สตาร์ทอัพสัญชาติดัตช์ ได้เกิดไอเดียที่จะสร้างน้ำแข็งเทียมทดแทนน้ำแข็งที่ละลายไปด้วยปั๊มน้ำ นวัตกรรมนี้คืออะไร แล้วจะสามารถช่วยโลกของเราได้ขนาดไหน ลองมาอ่านกันดูครับ
ปั๊มน้ำสร้างน้ำแข็งทดแทนทำงานอย่างไร?
สิ่งนี้คือนวัตกรรมปั๊มน้ำไฮโดรเจน 600 วัตต์ โดยวิธีการคือ พวกเขาจะค้นหาบริเวณที่มีน้ำแข็งน้อย แล้วก็ทำเจาะชั้นน้ำแข็งลงไปให้ถึงแหล่งน้ำใต้น้ำแข็งเหล่านั้น แล้วทำการติดตั้งปั๊มน้ำนี้เอาไว้ โดยมีเงื่อนไขว่าบริเวณที่ติดตั้ง จะต้องมีอุณหภูมิอยู่ที่ – 50 องศาเซลเซียส
จากนั้นปั๊มน้ำก็จะทำงานโดยการสูบน้ำใต้น้ำแข็งขึ้นมาบนพื้น ด้วยอุณภูมิ – 50 องศาเซลเซียส จะทำให้น้ำที่ถูกสูบขึ้นมาเกิดการแข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็งนั่นเองจากรายงานการทดลองของ Arctic Reflections ระบุว่า วิธีการนี้สามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำแข็งได้ถึง 1 เมตร เลยทีเดียว
ซึ่งคาดการณ์ว่าถ้าสามารถติดตั้งปั๊มน้ำได้ 100 – 1,000 เครื่อง จะสามารถช่วยเพิ่มน้ำแข็งได้ 100,000 ตารางกิโลเมตร และปั๊มน้ำเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยให้กับหมีขั้วโลกและแมวน้ำได้อีกด้วย
ไอเดียดี แต่ต้องลดการปล่อยคาร์บอนด้วย
ถึงไอเดียนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำแข็งได้ แต่มันอาจจะไม่เพียงพอ คุณจูเลียน สโตรฟ จาก University College London กล่าวว่า ไอเดียนี้เป็นไอเดียที่ดีแต่อาจจะไปเพียงพอต่อการรักษาน้ำแข็งขั้วโลกเอาไว้
สิ่งสำคัญในการปกป้องน้ำแข็ง ก็คือการลดการปล่อยคาร์บอนลงครึ่งหนึ่งจากปริมาณที่ถูกปล่อยออกมาในปัจจุบัน ถึงจะสามารถลดการละลายของน้ำแข็งได้
Scale’s Takeaways
1. อย่าวางใจสิ่งที่มองไม่เห็น
ในหลายๆ ครั้งของชีวิต เราต่างมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่วางใจกับสภาวะที่เป็นอยู่ จนอาจลืมหรือละเลยสิ่งสำคัญบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราได้ เช่น การออกกำลังกาย, การลงทุน, หรือแม้แต่สภาวะของโลก
และสุดท้ายเรามักจะมารับรู้ถึงสิ่งสำคัญเหล่านี้ในตอนที่พวกมันส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรา ซึ่งมันอาจจะสายไปแล้วที่จะแก้ไขหรือปรับปรุงเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่งในช่วงเวลาที่ชีวิตดูราบรื่นที่สุด ยิ่งต้องทำทุกอย่างที่สำคัญให้มีประสิทธิภาพที่สุดด้วยเช่นกัน
2. การทดแทน ต้องมาพร้อมกับการรักษา
ในกรณีของน้ำแข็งขั้วโลก ต่อให้นวัตกรรมนี้จะดีแค่ไหน สร้างสิ่งทดแทนมาส่งเสริมสิ่งที่เสียไปมากเท่าไหร่ ก็อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าเรายังไม่ช่วยกันรักษาโลกใบนี้เอาไว้ด้วย
บางครั้งในชีวิตเราต่างหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาทดแทนเพื่อพัฒนาตัวเอง แต่ก็มีหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีงามในตัวที่ควรค่าแก่การรักษา การพัฒนาควรที่จะควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แล้วด้วย นั่นจะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีคุณภาพและยังคงความเป็นตัวเองเอาไว้ด้วยนั่นเอง
3. อย่าปล่อยความรับผิดชอบสาธารณะเอาไว้กับใคร
เรื่องนี้คงทำให้หลายๆ คนได้เห็น ว่าต่อให้มนุษย์เราจะทำร้ายโลกมากเท่าไหร่ ก็จะมีใครสักคนที่ลุกขึ้นมาช่วยโลกนี้ไว้เสมอ จนบางครั้งก็ทำให้การใส่ใจในพื้นที่สาธารณะของหลายๆ คน ลดลง เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองลองคิดว่าถ้าคนที่ไม่ได้มีหน้าที่คิดแบบนี้กันทุกคน โลกของเราจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
เพราะฉะนั้นถึงต่อให้มีผู้ที่รับผิดชอบในพื้นที่สาธารณะอยู่แล้ว แต่ในจิตสำนึกระดับบุคคลก็ต้องมี เราทุกคนควรจะช่วยกันสร้างจิตสำนึกที่ดี รวมไปถึงการรักษาพื้นสาธารณะ หากทำได้ เชื่อว่าการลดคาร์บอนลงอย่างที่คุณ จูเลียน สโตรฟ บอกก็อาจไม่ใช่แค่ฝันก็เป็นได้
สรุป
จากหน้าร้อนที่ผ่านคงทำให้ใครหลายคนรับรู้ถึงวิกฤตที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่ไม่มากก็น้อย นวัตกรรมนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวช่วยที่ทำให้น้ำแข็งมีปริมาณเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอจะหยุดวิกฤตที่เกิดขึ้นได้
สิ่งสำคัญคือเราต้องช่วยเหลือกัน พฤติกรรมอะไรที่ช่วยทำให้สภาวะของโลกดีขึ้นได้ ถ้าไม่ได้ยากเกินไปก็ควรที่จะช่วยกันทำ เพื่อว่าในสักวัน การปล่อยคาร์บอนจะลดลงอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และทำให้โลกของเราคงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนนั่นเอง
อ้างอิง
