ทำงานหนัก พักให้เป็น ตามเทคนิคการแบ่งเวลา 112/26

01 FeatureIMG W Scale Knowledge 17

การทำงานทั้งวันแล้วได้พักแค่ 1 ชั่วโมง อาจไม่ใช่การทำงานที่ Productive ที่สุด เพราะสมองของเราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำงานโดยไม่หยุดพักตลอดทั้งวัน

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่าการนอนหลับจะช่วยให้เรามีความจำที่ดี และการพักเบรกจากงานเป็นระยะๆ ก็มีประโยชน์คล้ายกันคือจะช่วยทำให้เราโฟกัสกับงาน มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในปี 2014 บริษัท DeskTime ที่พัฒนาระบบจัดการการทำงาน ได้ทำการวิจัยเหล่าพนักงานระดับท็อปเพื่อดูว่าอะไรคือเคล็ดลับของประสิทธิภาพการทำงานที่โดดเด่นของพวกเขา ผ่านการศึกษาข้อมูลผู้ใช้ในแอปฯ Tracking Time รวมถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ในระหว่างทำงาน

สิ่งที่ค้นพบว่าพนักงานเหล่านี้มีคล้ายกันคืออัตราส่วนเวลาการทำงานและการพักแต่ละวัน โดยจะใช้เวลาทำงานประมาณ 52 นาที สลับกับพัก 17 นาที

ผลการวิจัยนี้ได้รับการยอมรับอย่างมาก และเทคนิคแบ่งเวลา 52/17 ก็ถูกเอาไปเผยแพร่ในบทความของ BBC รวมถึงใช้อ้างอิงในการศึกษาวิชาการอีกด้วย

แต่หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้รูปแบบและพฤติกรรมการทำงานของคนทั้งโลกเปลี่ยนไป DeskTime ทำการวิจัยอีกครั้งเพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นกระทบกับกฎ 52/17 หรือไม่ ก็เจอว่าพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่เป็น 112/26 หรือก็คือใช้เวลาทำงาน 112 นาที ตามด้วยพัก 26 นาที (ใช้เวลาทำงานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย!)

sb6tlQZabQQbRLMbUbuHvLjtrKTwktoIbmUb2sLYgbVHdLsjWAW
ขอบคุณรูปภาพจาก DeskTime

นักจิตวิทยาองค์กร Katrina Osleja ให้ความเห็นว่า เวลาการทำงานที่เพิ่มขึ้นเกิดจากรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home ที่จะสามารถทำงานนานขึ้นได้เมื่อไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แถมการประชุมออนไลน์ทำให้เวลาการนั่งหน้าคอมฯ นานขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดต่อเทคนิคการแบ่งเวลา 112/26 (หรือแม้แต่ 52/17) ก็สำคัญ เมื่ออยู่ในช่วงเวลาการทำงาน ก็ควรโฟกัสที่งานจริงๆ ไม่เผลอนั่งไถ Facebook ดู TikTok แล้วพอถึงเวลาพักก็ต้องปล่อยใจปล่อยจอยให้เต็มที่ อย่าไปคิดเรื่องงาน ก็จะช่วยให้สมองสามารถจัดการประมวลผลข้อมูลและความทรงจำได้ดีขึ้นด้วย

Scale’s Takeaways

1. เขียน To-do List ก่อนเริ่มทำงาน

การระบุ To-do List ไว้ก่อน จะทำให้เมื่อเราเริ่มทำงานไปแล้ว สมองเราจะสามารถโฟกัสอยู่ที่งานปัจจุบันที่เราทำได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะทำไปด้วย คิดไปด้วย แล้วมีงานอื่นผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้งานเสร็จไม่ทันกำหนดและงานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ

2. 3 วิธีลดเครียดจาก Work From Home

  • ใช้โต๊ะปรับระดับเพื่อให้สามารถเปลี่ยนอริยาบถเป็นการยืนระหว่างทำงานได้ เพราะ Work From Home มักหลอกให้เราต้องนั่งทำงานนานขึ้น
  • มองไกลเพื่อปรับสายตา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา และลดความเครียดได้ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูต้นไม้หรือวิวนอกโต๊ะทำงาน
  • คุยสายไปด้วยเดินรอบบ้านไปด้วย เป็นการถือโอกาสพักผ่อนยืดเส้นยืดสาย

3. Pomodoro เทคนิคการแบ่งเวลาแบบ 25/5

ก่อนหน้าที่จะมี 52/17 และ 112/26 เคยมีกฎที่เรียกว่า Pomodoro มาก่อน เป็นเทคนิคการแบ่งเวลา แบบ 25/5 แต่เพราะว่ามีหลายงานที่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดและทำนานกว่า 25 นาทีถึงจะเสร็จ และหากมีคนใช้นาฬิกาจับเวลาเพื่อรักษากฎอย่างเข้มงวด การถูกเตือนทุก 25 และ 5 นาทีอย่างต่อเนื่องก็อาจรู้สึกว่าถูกรบกวนบ่อยเกินไป เทคนิค 52/17 และ 112/26 จึงดูสมเหตุสมผลมากกว่าในการใช้งานจริง

สรุป

ถึงแม้จะมีทฤษฎีหรือเทคนิคมากมายที่ใคร ๆ เขาก็ว่าดี แต่ถ้าลองแล้วมันไม่เหมาะกับตัวเรา ก็สามารถจัดเวลาพักเวลาทำงานที่เหมาะกับตัวเองได้ เพราะจะช่วยลดความกดดันเรื่องเวลา และสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพเมื่อเป็นเวลาที่เราต้องการ

อ้างอิง

https://neurotrack.com/resources/take-a-break-the-52-17-rule
https://neurotrack.com/resources/why-your-brain-needs-sleep
https://medium.com/illumination/the-pomodoro-technique-is-outdated-use-the-52-17-or-112-26-rules-instead-b00b5143c645
https://desktime.com/blog/52-17-updated-people-are-now-working-and-breaking-longer-than-before
https://desktime.com/blog/17-52-ratio-most-productive-people

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ติดตาม scale เพื่อเติมความรู้ดีๆ ใส่สมองก่อนใคร!

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามต่อทาง Social Media

นอกจากอีเมลแล้ว คุณยังสามารถติดตามคอนเทนต์ดีๆ ผ่าน Social Media ได้เช่นกัน

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

ติดตามเราทาง Facebook

เราสัญญาว่าจะเติมแต่ความรู้ดีๆ ใส่สมองของคุณ :)

กดปุ่มนี้

Scroll to Top