สังเกตไหมว่าทุกครั้งที่เราเดินเข้าไปในร้านกาแฟอย่าง Starbucks เรามักจะได้ยินเสียงเพลงไม่ซ้ำดังขึ้นตลอดเวลา แต่มองแบบผิวเผินก็อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปที่ร้านกาแฟอื่นๆ ก็ทำกัน แต่สำหรับ Starbucks การเปิดเพลงนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าการเปิดเพลงไปงั้นๆ โดยเชื่อกันว่า ‘เพลง’ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ Starbucks
เพลงแบบไหนที่สามารถสร้างยอดขายได้มากที่สุด?
อย่างที่ได้เกริ่นไว้แล้วว่าการเปิดเพลงของ Starbucks นั้นไม่ใช่แค่เปิดเพลงไหนก็ได้ แต่ผ่านการทดลองมาแล้ว โดยลองเปิดเพลง 3 แบบ คือไม่เปิดเพลง เปิดสุ่มเพลงที่ใครๆ ก็รู้จักกันดี และเปิดเพลงที่เหมาะกับร้าน
ถ้าลองให้เดาว่าเพลงแบบไหนที่ช่วยสร้างยอดขาย แน่นอนว่าหลายคนต้องเลือกช้อยส์ 2 เพลงที่ใครๆ ก็รู้จักกันดี แต่ผลสรุปกลับไม่เป็นอย่างนั้น จริงอยู่ที่เพลงที่มีคนรู้จักเยอะทำให้ลูกค้านั่งอยู่ในร้านนานมากขึ้น แต่ทำให้ยอดขายลดลง 4% ในขณะที่เพลงที่ถูกเลือกมาอย่างดีเพื่อให้เข้ากับคอนเซปร้านทำให้ลูกค้านั่งอยู่ในร้านนานน้อยกว่า แต่กลับทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 9% เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ Starbucks จึงให้ความสำคัญในการจัด Playlist ของเพลงให้เป็นกลุ่มเพลงหลายๆ แนวที่มีแบบแผน มากกว่าการสุ่มเปิดเพลงตลาดที่ใครๆ ก็รู้จักนั่นเอง
ทำไมเราหาเพลงที่เปิดใน Starbucks ไม่เจอ?
เคยไหม? ลองเสิร์ชหาเพลงที่เปิดใน Starbucks เพื่อที่จะมาเปิดในบ้านตอนที่นั่งทำงาน Work From Home แต่เสิร์ชทีไรก็หาไม่เจอทุกที
ด้วยความที่ Starbucks จริงจังกับเรื่องของเสียงเพลงมาก เลยมีการซื้อลิขสิทธิ์และซื้อกิจการของค่ายเพลงที่รวมศิลปินอินดี้ไว้เลยทำให้เราเสิร์ชหาเพลงนั้นไม่เจอ เพราะ Starbucks ไม่อยากเปิดเพลงที่ทุกคนรู้จักแต่อยากเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศของร้านเพื่อให้คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นนั่นเอง
Scale’s Takeaways
1. ใส่ใจประสบการณ์ของลูกค้า
การที่ Starbucks ทดลองเปิดเพลง 3 รูปแบบเพื่อทดสอบว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไรกับเพลงแต่ละแบบนั้นเรียกได้ว่าเป็นการใส่ใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง จริงอยู่ที่เป้าหมายหนึ่งของการทดลองนี้ทำเพื่อสร้างยอดขายให้กับร้านแต่อีกจุดประสงค์ก็เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเข้ามานั่งในร้านด้วยเช่นกัน
2. ใส่ใจบรรยากาศในร้าน
นอกจากการใส่ใจคุณภาพของเครื่องดื่มและการบริการลูกค้าแล้ว บรรยากาศในร้านยังเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกคนที่เปิดร้านขายอาหาร คาเฟ่ หรือแม้แต่ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด การตกแต่งร้าน และการเลือกใช้เพลง เพราะเสียงเพลงที่เข้ากับบรรยากาศของร้านนั้นสามารถเพิ่มยอดขายในร้านได้มากเท่าตัว เมื่อเทียบกับการเปิดเพลงที่รู้ค้ารู้จักอยู่แล้ว
3. ลงทุนกับสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าได้
สำหรับเจ้าของกิจการที่มีค่าใช้จ่ายมากมายในการดูแลพนักงาน พัฒนาสินค้าและบริการ อาจทำให้หลายคนพยายามประหยัดงบประมาณในการลงทุน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่การลงทุนในสิ่งที่สามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับร้านของเรานั้นย่อมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เช่นเดียวกับ Starbucks ที่ถึงขั้นยอมซื้อกิจการของค่ายเพลงอินดี้เพื่อเปิดเพลงที่เหมาะกับบรรยากาศของร้านมากที่สุด
สรุป
บรรยากาศของร้านนับเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยสร้างยอดขายให้กับธุรกิจและร้านค้า โดย ‘เสียงเพลง’ เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
อย่าลืมลองเปลี่ยนเสียงเพลงให้เหมาะกับร้านของคุณดู เพราะเพลงที่ฮิต อาจจะไม่ใช่เพลงที่ใช่และเหมาะกับร้านของเรา
อ้างอิง
- https://www.facebook.com/share/v/E8hxGgWRToDKHD2x/?mibextid=KsPBc6
- https://bettermarketing.pub/music-as-a-marketing-tool-how-brands-like-starbucks-and-w-hotel-use-playlists-to-build-experiences-70854de3d711
- https://medium.com/choice-hacking/how-starbucks-used-psychology-to-become-the-king-of-coffee-92df1081bcf6
- https://www.linkedin.com/pulse/power-sound-how-brands-use-music-effects-influence-consumer?utm_source=share&utm_medium=member_ios&utm_campaign=share_via